ใครคือผู้ชนะ ? SET อยู่ตรงไหน ? เมื่อเทียบผลตอบแทนดัชนีหลักทรัพย์เอเชียใน 1 ปีที่ผ่านมา!

“ดัชนีหลักทรัพย์ต่างประเทศ” เป็นหนึ่งในตัวเลือกการลงทุนที่นักลงทุนไทยกำลังให้ความสนใจและจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนีหลักทรัพย์ในตลาดเอเชียเพราะเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงและสร้างผลตอบแทนในระดับที่ดี ตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชีย

📌 แล้วตลาดไหน ให้ผลตอบแทนสูงสุด?

Top 3 ดัชนีหลักทรัพย์เอเชียที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดใน 52 อาทิตย์ที่ผ่านมา (ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2566)

1️⃣ NIKKEI 225 Index: ดัชนีหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทน 22%

2️⃣ NIFTY 50 Index: ดัชนีหุ้นของประเทศอินเดีย ให้ผลตอบแทน 19%

3️⃣ KOSPI Composite Index: ดัชนีหุ้นของประเทศเกาหลีใต้ ให้ผลตอบแทน 7%

ส่วน SET ดัชนีหลักทรัพย์ของไทย ไม่ได้แย่สุดนะครับ เรา ติดลบอยู่ 4% แต่ตลาดที่หนักสุดเห็นจะเป็น ฮ่องกง โดยดัชนี Hang Seng Index ติดลบอยู่ 15% ในปีที่ผ่านมา

📌 เราจะลงทุนดัชนีหลักทรัพย์ของประเทศอื่นๆในเอเชียอย่างไร?

หนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นที่นิยมของเอเชียที่มีสภาพคล่องสูงและเป็นแหล่งรวมการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายในเวลานี้ ก็คงหนีไม่พ้น ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ หรือ Singapore Exchange Limited (SGX)

ทั้งนี้ สิงคโปร์ ถือเป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่ได้รับระดับเครดิต “AAA” สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเต็มรูปแบบ จากการจัดระดับของ Moody’s Investor Service, Standard & Poor’s และ Fitch Ratings และดัชนีเอเชียที่น่าสนใจและนักลงทุนเสามารถเข้าไปซื้อขายได้ผ่าน SGX ได้แก่

1️⃣ ดัชนี Nifty ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นของประเทศอินเดีย ที่ติดตามประสิทธิภาพของหุ้น 50 อันดับแรกตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดจาก 13 ภาคส่วนของเศรษฐกิจอินเดีย ด้วยจำนวนบริษัทที่ค่อนข้างน้อยแต่ก็เป็นตัวแทนมากกว่า 60% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดแบบลอยตัวอิสระของหุ้นที่จดทะเบียนใน NSE

รายชื่อองค์ประกอบดัชนี NIFTY 50 จะกำหนดใหม่ทุก 6 เดือน และรายชื่อบริษัทชั้นนำ อาทิ บริษัทชั้นนำด้านน้ำมันและแก๊สอย่าง Reliance Industries, ภาคบริการการเงินอย่าง ICICI Bank หรือบริษัทที่มีขื่ออย่าง Larsen & Toubro ที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรม เป็นต้น

2️⃣ ดัชนี FTSE China A50 ที่เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของประเทศจีนนั้น เป็นดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 50 อันดับแรกของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด

ดัชนีในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยหุ้น A-Shares 50 ที่ใหญ่ที่สุด ที่ได้รับความนิยมในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น เรียกได้ว่าเป็นหุ้นที่มีองค์ประกอบของบรรดาดัชนีที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจจีน และมีอิทธิพลอย่างมากในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาคธนาคาร, ภาคสาธารณูปโภค, ภาคการผลิต เป็นต้น

และนักลงทุนก็สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบดัชนีที่จะประกาศในวันพุธก่อนศุกร์แรกของทุกเดือนปิดไตรมาส จึงทำให้ง่ายต่อการเทรดและติดตามว่าจะมีการปลดหรือเพิ่มบริษัทนั่นเอง ซึ่งรายชื่อบริษัทชั้นนำในดัชนี FTSE China A50 ได้แก่ ICBC Bank, Bank of China, China Construction Bank, China Life Insurance เป็นต้น

3️⃣ ดัชนี Nikkei 225 ถือเป็นดัชนีหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับสองรองจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และกำลังร้อนแรงมากที่สุดในตลาดหุ้นเอเชีย ณ ขณะนี้ โดยดัชนี Nikkei 225 เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งดัชนีที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการกระจายความเสี่ยง เนื่องจากเป็นดัชนีที่ประกอบไปด้วยบริษัทจากหลายภาคอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, บริษัทรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมเคมี, ภาคอุตสาหกรรมเครื่องกล, บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และภาคธนาคารขนาดใหญ่รวมอยู่ด้วย อาทิ Toyota Motor, Yamaha, Nomura, Mitsubishi Electric เป็นต้น

ดังนั้น ดัชนี Nikkei 225 จึงเป็นดัชนีที่สำคัญอย่างมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และนำมาถูกใช้เพื่อพิจารณาเป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดหุ้นเอเชียตะวันออก อีกทั้งยังเป็นดัชนีที่นำมาคำนวณเทียบตามระเบียบวิธีเดียวกับ Dow Jones

4️⃣ นอกจากนี้ ยังมีดัชนี Hang Seng Index หรือ HSI ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีหลักที่มองข้ามไปไม่ได้ของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ประกอบไปด้วย หุ้น 50 ตัวที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงมากที่สุดในตลาดฮ่องกง ซึ่งดัชนี HSI เป็นดัชนีที่มีองค์ประกอบหลัก 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ภาคการเงิน, ภาคอุตสาหกรรม, ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคสาธารณูปโภค ซึ่งร้อยละ 50 ของสมาชิกในดัชนีจะเป็นบริษัทที่มาจากจีน

ทั้งนี้ ฮ่องกง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย ที่มีการเชื่อมต่อด้านการค้าขายระหว่างจีนและนานาประเทศ ดังนั้น สถานการณ์ทางการเมืองระดับโลกจึงมีผลกระทบต่อฮ่องกงไปด้วย และทำให้ดัชนี HSI มีความผันผวนสูงเมื่อเทียบกับดัชนีอื่นๆ ในขณะที่ความผันผวนที่เกิดขึ้นกลับทำให้นักลงทุนมีโอกาสที่สร้างผลกำไรจากการขึ้นลงของดัชนี ซึ่งบริษัทชั้นนำที่อยู่ในดัชนี HSI ก็เป็นที่รู้จักกันระดับโลก เช่น ธนาคารระดับโลกอย่าง HSBC, บริษัทประกัน AIA, หรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงอย่าง Tencent เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ดัชนีหลักทรัพย์ชั้นนำของสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่สร้างโอกาสทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นดัชนี Nasdaq 100 ที่สามารถทำ All Time High รอบกว่า 14 ปีได้ในเดือนมิถุนายนปี 2023 นี้ รวมไปถึงดัชนี S&P500 และดัชนี Dowjones ด้วยเช่นกัน ซึ่งการเทรด 3 ดัชนีหุ้นชั้นนำของสหรัฐฯ ก็สามารถเทรดได้ผ่าน Chicago Merc Chicago Mercantile Exchange หรือที่รู้จักกันในนามตลาด CME ซึ่งถือตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือเป็นแหล่งรวมสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก

และทั้งหมดนี้ นักลงทุนไทยก็สามารถเข้าถึง และเลือกเปิดบัญชีซื้อขายได้กับโบรกเกอร์ไทยที่ได้รับใบอนุญาตได้อย่างถูกต้อง โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปยังต่างประเทศ หรือเสี่ยงเลือกลงทุนกับโบรกเกอร์เถื่อน ซึ่งทางบริษัท MTS Capital นอกจากจะเป็นโบรกเกอร์สมาชิกในตลาด CME แล้ว ล่าสุดได้มีการจับมือกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) เพื่อเปิดโลกการลงทุนในตลาดชั้นนำสภาพคล่องสูง พร้อมด้วยศักยภาพในการเติบโตในอนาคต เสริมทัพด้วยดัชนีหลักทรัพย์ชั้นนำในตลาดเอเชีย เพิ่มโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถเทรดในตลาดระดับโลกมากขึ้นและเข้าถึงสินค้าการลงทุนแบบครบวงจร

หากสนใจสามารถรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงคลิก https://bit.ly/Line_MTSxTraderKp หรือโทร 02 770 7799

#TraderKP #ทันโลกกับTraderKP #MTS #MTSCapital