ดัชนี S&P 500 พุ่งทะลุ 4500 จุด บวก +18% แล้วจากต้นปี และอาจพุ่งทะลุ 5400 จุด ภายใน 2024 ทำไมดัชนีนี้ถึงน่าสนใจ?

📈 ดัชนี S&P 500 ได้ปรับตัวทำราคาสูงสุดในรอบปี และยังคงขึ้นอย่างต่อเนื่องทะลุ 4500 จุด บวกขึ้นมาเกือบ 18% จากต้นปี (เทียบ ณ วันที่ 17 ก.ค. 2566) แม้ว่าจะเผชิญข่าววิกฤตภาคธนาคารในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และความกังวลเรื่อง Recession ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่า S&P Index ยังมีโอกาสขึ้นต่อและอาจทะลุ 5400 จุดภายในปี 2024

บทความนี้เราจะมาวิเคราะห์กันว่าทำไมดัชนีนี้ถึงน่าสนใจ

📌 ดัชนี S&P 500 คืออะไร?

✅ ดัชนี S&P 500 หรือ Standard & Poor’s 500 คือ ดัชนีที่มีการคำนวณดัชนีบริษัทชั้นนำ 500 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ คำนวณโดยวิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap)

✅ ดัชนี S&P 500 เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะ Market Cap รวมของ 500 บริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้ก็กินราวๆ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้งหมด และดัชนีนี้ถือเป็นมาตรวัดผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ดีที่สุด

✅ หุ้น 10 อันดับแรก ตาม Index Weighing ได้แก่

1. Apple (AAPL)

2. Microsoft (MSFT)

3. Amazon (AMZN)

4. NVIDIA (NVDA)

5. Alphabet Class A (GOOGL)

6. Alphabet Class C (GOOG)

7. Meta Platforms Class A (META)

8. Berkshire Hathaway (BRK.B)

9. Tesla (TSLA)

10. UnitedHealth Group (UNH)

✅ ดัชนี S&P 500 ยังถือเป็นหนึ่งใน 3 ของดัชนีหุ้นรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา (Dow Jones 30 , Nasdaq 100) ซึ่งความแตกต่างก็คือ

– S&P 500 กระจายในหลายอุตสาหกรรม มีความมั่นคง

– Nasdaq 100 เป็นตัวแทนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

– Dow Jones 30 เป็นตัวแทนหุ้นใหญ่อเมริกา 30 บริษัทเท่านั้น

📌 ทำไม S&P 500 จึงน่าสนใจ?

แม้ว่า S&P 500 จะรวมบริษัทไว้ถึง 500 บริษัทก็ตามแต่รู้หรือไม่ว่า 10 บริษัทแรกของตลาดได้ครองส่วนแบ่งไปมากกว่า 30% ของทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นบริษัทกลุ่มเทคฯที่เรารู้จักกันดีอย่างเช่น Apple, Microsoft, Nvidia, Tesla, Alphabet และ Meta เป็นต้น และหากใครสังเกตจะเห็นว่าท็อป 10 บริษัทแรกของ S&P 500 จะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับที่น้อยมาก รวมถึงเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่นักลงทุนมองว่ามีความมั่นคงและสามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวเกินกว่า 10 ปีได้

ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้นักลงทุนไทยหลายคนก็เริ่มมองหาโอกาสในการเข้าถึงตลาดลงทุนของสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเฉพาะโอกาสการลงทุนในบริษัทเทคฯ และ AI ที่ถูกมองว่าเป็นอนาคตของโลก ต่างอยู่ในตลาดสหรัฐฯเป็นส่วนใหญ่

📈 หากเราเริ่มลงทุน S&P 500 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร?

(นับจากวันที่ 17 กรกฎาคม 2023)

หากเริ่มลงทุนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจะได้รับผลตอบแทน 3%

หากเริ่มลงทุนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาจะได้รับผลตอบแทน 15%

หากเริ่มลงทุนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจะได้รับผลตอบแทน 18%

หากเริ่มลงทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะได้รับผลตอบแทน 43%

หากเริ่มลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจะได้รับผลตอบแทน 61%

หากเริ่มลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะได้รับผลตอบแทน 236%

นอกจากผลตอบแทนขอมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น S&P 500 ยังมีปันผลตอบแทนอยู่ที่ 1.54% ต่อปีในเดือนพฤษภาคม 2023

📌 โอกาสทำกำไรในดัชนี S&P 500

การทำกำไรในดัชนี ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงขาขึ้นเท่านั้น แต่ในช่วงขาลง นักลงทุนก็สามารถทำกำไรได้ด้วยการเทรดในตลาดอนุพันธ์ ซึ่งตลาดซื้อขายอนุพันธ์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ก็คือ CME หรือ Chicago Mercantile Exchange ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก (Global Trading) และสินค้า Commodity ต่างๆ เช่น สินค้าการเกษตร, การเทรดน้ำมันบนตลาด Nymex, Gold Comex , หุ้นชั้นนำของสหรัฐฯ อาทิ S&P500, Dow Jones หรือ Nasdaq, FX Futures และ Micro Cryptocurrency

โดย MTS Capital หนึ่งในโบรกเกอร์ชั้นนำแห่งประเทศไทย เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยได้เข้าถึงตลาด CME เชื่อมต่อการลงทุนและนวัตกรรมแห่งโลกการลงทุนอย่างไร้ขีดจำกัด โดยนักลงทุนสามารถตั้งกลยุทธ์การทำกำไรทั้งในขาขึ้นและขาลงด้วย Futures และ Options

MTS Capital มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า ทุกเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนไทยจะเข้าถึงตลาดโลกอย่างโปร่งใส สร้างจังหวะทำกำไรในตลาดโลกผ่าน Platform ชั้นนำอย่าง MT5 จึงทำให้นักลงทุนแทบจะไม่พลาดโอกาสในการทำกำไรแบบ Real Time ในตลาดโลกเลยก็ว่าได้

เพิ่มโอกาสสร้างผลกำไรให้ตัวเอง พร้อมข้อเสนอพิเศษ กับ MTS Capital

สนใจ: https://bit.ly/MTSxTraderKP หรือ โทร 02-770-7799

#TraderKP #ทันโลกกับTraderKP #MTS #MTSCapital #MTSxTraderKP