
ในช่วงที่ผ่านมา จีนเจอปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจรุมเร้า ทำให้รัฐบาลสี จิ้นผิง ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนเพิ่มเติมนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในเดือน ส.ค. ค่อยๆ มีทิศทางที่ดีขึ้นในหลายภาคส่วน อาทิ ความต้องการสินเชื่อภายในประเทศ, PMI ภาคการผลิต, การส่งออก เป็นต้น อีกทั้งเงินเฟ้อ (CPI) จีน ออกมาอยู่ที่ +0.1%YoY ตามคาด ขยับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ -0.3%YoY ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด
นอกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นที่นักลงทุนกำลังเฝ้าติดตามผล และมาตรการเพิ่มเติมอย่างใจจดใจจ่อแล้ว มีปัจจัยใดอีกบ้างที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้กลับมาเติบโตได้ในระยะกลางถึงระยะยาว? บทความนี้จะสรุปให้ฟังถึงประเด็นที่นักลงทุนควรรู้ในด้านโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจของจีน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโอกาสการลงทุน ในจังหวะที่เศรษฐกิจจีนอาจจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและเริ่มฟื้นตัว
ในอดีตมีภาพจำว่าจีนเป็นประเทศที่มีประชากรเยอะที่สุดในโลก มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 1978 โดยการนำของเติ้ง เสี่ยวผิง แต่ในช่วง 10 ปีล่าสุดนี้ ปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดถูกนำมาใช้แทนระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจจีน และยังเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษริมชายฝั่งทะเลตะวันออกเพื่อให้สิทธิพิเศษแก่ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจจีนเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น
👉 ก่อนการปฏิรูป ภาคเกษตรมีสัดส่วน 30% ของ GDP ในขณะที่ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วน 25% และ 45% ตามลำดับ
👉 ในปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 52.8% ของ GDP, ภาคอุตสาหกรรม 39.9%, ภาคเกษตรนั้นเหลือเพียง 7.3%
👉 ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐฯ มีสัดส่วนภาคบริการ 70%-80% ของ GDP
การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนทำให้การบริโภคเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Goods) ที่ครัวเรือนจีนมีสัดส่วนการบริโภคสูงกว่า 35% ของการบริโภครวมทั่วโลก
👉 การเกิดสังคมเมือง (Urbanization) ที่เคยครอบคลุมเพียง 19% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในปี 1980 เพิ่มมาเป็น 64% ในปี 2022
👉 สัดส่วนชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นจาก 19% ในปี 1980 มาเป็น 51% ในปี 2022 ซึ่งส่งผลให้รายได้ของภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นและบริโภคมากขึ้นตามลำดับ
จากประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก และมีส่วนในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเพียง 1% เมื่อสมัยปี 1980s เศรษฐกิจจีนได้ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาในปี 2010 และจากคาดการณ์ของทีมวิจัยของเจ.พี.มอร์แกน ระบุว่า GDP จีนจะแซงสหรัฐฯ ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในปี 2032
📌 โครงสร้างเศรษฐกิจจีนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
หลายคนเข้าใจว่าจีนเกินดุลการค้ากับทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และอาเซียน เป็นมูลค่ามหาศาล ดังนั้นการส่งออกน่าจะมีส่วนที่สำคัญต่อการเติบโตของ GDP จีนเป็นอย่างมาก แต่แท้จริงแล้วจีนยังต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตเป็นจำนวนมาก ทำให้จีนขาดดุลการค้ากับทั้งไต้หวัน บราซิล เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ทำให้การส่งออกสุทธิของจีนนั้นมีผลต่อการเติบโตของ GDP ราว +/-1% เท่านั้น
✅ สมัยเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ๆ การส่งออกและนำเข้าสินค้ามีสัดส่วนเพียง 4%-5% ของ GDP
✅ ในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) การส่งออกและนำเข้าสินค้าได้ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดถึง 28%-36% ของ GDP
✅ ปัจจุบันการส่งออกและนำเข้าสินค้ามีสัดส่วนเพียง 18%-20% ของ GDP จีน ซึ่งรัฐบาลจีนตั้งใจเน้นการบริโภคในประเทศมากขึ้น และเพิ่มสัดส่วนภาคบริการใน GDP ให้มากขึ้นแทนภาคอุตสาหกรรม
📌 ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนต่อไปข้างหน้า
1️⃣ การบริโภคภายในประเทศ
👉 ช่วงปี 2001-2010 GDP จีนโตเป็นเลข 2 หลัก โดยที่ 5%-6% มาจากการบริโภค รวมกับอีก 5%-6% ที่มาจากการลงทุน
👉 แต่ช่วงปี 2011-2020 GDP จีนโตเพียง 6%-8% ต่อปี โดยที่3%-5% มาจากการบริโภค และอีก 2%-4% มาจากการเติบโตของการลงทุน
จะเห็นว่าการบริโภคเป็นองค์ประกอบหลักที่มีสัดส่วนถึง 55% ของ GDP จีน (อดีตเคยสูงถึง 60-65%) ในขณะที่การลงทุน และการส่งออก มีสัดส่วนเพียง 43% และ 20% ของ GDP ดังนั้นการบริโภคจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันให้โตได้ตามเป้าหมาย 5%-6% ต่อปี
การบริโภคภาคครัวเรือนของจีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของการบริโภคอีกทอดหนึ่งนั้น มีสัดส่วนเพียง 38% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่า สหรัฐฯ ที่ระดับ 68% และค่าเฉลี่ยของประเทศกลุ่ม OECD ที่ระดับ 60% ด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้าง และปัจจัยเชิงวัฏจักรของจีนเอง ดังนี้
✅ ครัวเรือนจีนมีรายได้ 61% ของรายได้ประชาชาติ ในขณะที่รายได้ภาครัฐคิดเป็น 23% (สหรัฐฯ 76% และ 7% ตามลำดับ)
✅ ครัวเรือนจีนมีเงินฝากสูงถึง 35% ของรายได้หลังหักภาษี (สหรัฐฯ 12%, ยุโรป 11%, ญี่ปุ่น 8%) เพราะต้องกันเงินสำรองไว้ใช้เองแทนสวัสดิการสังคมในรูปเงินสดที่ได้มาจากภาครัฐเพียง 5%-6% ของ GDP (ประเทศพัฒนาแล้วได้ 13%-20%)
✅ ความมั่งคั่ง (Wealth) ของครัวเรือนจีนถูกสะสมไว้ในรูปของอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 66% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม (สหรัฐฯ 24%)
✅ความมั่งคั่งของครัวเรือนจีนในรูปของหุ้น, ประกัน และกองทุนบำนาญนั้นมีเพียง 10% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม (สหรัฐฯ 55%)
✅ภาระค่าใช้จ่ายเพื่อที่อยู่อาศัยสูงถึง 19% ของรายได้ครัวเรือนหลังหักภาษี เพิ่มขึ้นจากระดับ 5% เมื่อปี 2000 เพราะราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวขึ้นสูงมาก
ด้วยปัจจัยข้างต้น ทำให้การใช้จ่ายเพื่อบริโภคของภาคครัวเรือนจีนมีเพียง 65% ของรายได้หลังหักภาษี (เทียบกับสหรัฐฯ ที่ 87%) เพราะสวัสดิการรัฐมีน้อย ผลตอบแทนในตลาดเงินและตลาดทุนไม่น่าดึงดูด และราคาที่อยู่อาศัยแพงนั่นเอง
แท้จริงแล้วการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของภาคครัวเรือนจีนนั้นไม่ได้น้อย เพราะถ้าคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อที่อยู่อาศัยและหักภาษีออกด้วยแล้วจะสูงถึง 79% (เทียบกับปี 2000 ที่ระดับ 74%)
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนจึงพยายามควบคุมราคาที่อยู่อาศัย โชคไม่ดีที่มาตรการคุ้มเข้มภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนเหมือนจะรุนแรงเกินไป จนเกิดปัญหาลากยาวมาจนปัจจุบัน
รัฐบาลจีนรู้ดีว่าต้องเร่งแก้ปัญหานี้โดยเร็วเพื่อปลดล็อคข้อจำกัดในการกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนให้กลับมาเติบโต และให้ GDP โตได้ตามเป้า เราจึงได้เห็นมาตรการผ่อนคลายด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย และการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลาย ก.ค. ที่ผ่านมา
2️⃣ โครงสร้างประชากรจีนที่เริ่มลดลงและเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
จำนวนประชากรวัยแรงงาน (15-64ปี) ของจีนได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตั้งแต่ปี 2015 และจำนวนประชากรทั้งหมดของจีนก็ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2021 พร้อมกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยตามนิยามของ UN (มีประชากรอายุ >64ปี 15% > นิยามของ UN ที่ 14%)
✅ นโยบายลูกคนเดียว (One-Child Policy) เริ่มขึ้นเมื่อปี 1982 ทำให้อัตราการเกิดลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงปี 1990-2010
✅ มีการปรับนโยบายใหม่ในปี 2014-2016 ให้มีลูกได้ 2 คน แต่อัตราการเกิดกลับลดลงต่ออย่างรวดเร็ว เพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไป ประกอบกับภาระค่าเล่าเรียนและค่าที่อยู่อาศัยแพงขึ้น
✅ ในปี 2021 จีนได้ปรับนโยบายใหม่ให้มีลูกได้ถึง 3 คน แต่เหมือนจะสายไปเสียแล้ว เพราะในปี 2022 จีนเสียแชมป์โลกด้านจำนวนประชากรไปให้กับอินเดีย
การลงทุนในทุนมนุษย์ (Human Capital) เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับจีน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจีนเองก็ตระหนักดีจึงพยายามให้เด็กเข้าถึงการศึกษาในระดับสูงขึ้น และเข้าไปจัดการโรงเรียนกวดวิชาเมื่อปี 2021 เพื่อให้ค่าเล่าเรียนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้สำหรับคนทั่วไป รวมถึงปรับนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่มาจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป ดังนี้
✅ เพิ่ม Urbanization Rate หรือสัดส่วนความเป็นสังคมเมือง จากปัจจุบันที่ 64% ของจำนวนประชากรทั้งหมด (สหรัฐฯ 83%, ญี่ปุ่น 92%) ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และเพิ่มการบริโภค
✅ เพิ่ม Labor Participation หรืออัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงาน ในกลุ่มผู้สูงวัยให้เหมือนกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ก็จะทำให้จีนมีกำลังแรงงานเพิ่มขึ้นได้อีก 30 ล้านคน
✅ เพิ่มการใช้ Technology เพื่อให้ทำงานได้มากขึ้นโดยใช้คนน้อยลง และให้ประชากรสูงวัยยังสามารถทำงานได้ โดยเฉพาะในภาคบริการที่ยังมีสัดส่วนเพียง 52.8% ของ GDP เทียบกับญี่ปุ่น 70%
3️⃣ การเร่งเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) และเทคโนโลยีขั้นสูง
ในช่วง 30 กว่าปีแรกของการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเติบโตของ GDP จีนที่สูงถึง 9-12% โดยแบ่งเป็นการเติบโตที่มาจาก 2 ส่วนหลัก ได้แก่
✅ การเพิ่มปัจจัยการผลิต อันประกอบด้วยปัจจัยทุน (Capital Factor) และปัจจัยแรงงาน (Labor Factor) มีส่วนทำให้ GDP จีนเติบโตได้ 6%-7%
✅ การเพิ่มผลิตภาพการผลิต (TFP: Total Productivity Factor) จากการใช้เทคโนโลยีหรือระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีส่วนทำให้ GDP จีนเติบโตได้ 2%-5%
อย่างไรก็ดีในช่วง 10 ปีล่าสุดเราเริ่มเห็น GDP จีนเติบโตในอัตราต่ำลงมาที่ 6%-8% เพราะการเพิ่มปัจจัยการผลิตที่เคยเป็นกลจักรสำคัญเริ่มอิ่มตัว
👉 Capital Factor (เช่น ที่ดินและเครื่องจักร) เติบโตน้อยลงเหลือ 3%-4%
👉 Labor Factor ที่เคยเติบโตตามจำนวนประชากรก็ไม่ได้เติบโตได้ในรูปแบบเดิม
👉 ดังนั้นการเติบโตของ GDP จีนต้องหันมาพึ่งพาการเพิ่มผลิตภาพการผลิตมากขึ้นแทน
นี่คือที่มาของการเปิดศึก 2 ด้านของจีน ทั้งฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของจีน (จีนเกินดุลการค้าสหรัฐฯ มากที่สุด) และฝั่งไต้หวัน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น (จีนขาดดุลการค้าไต้หวัน มากที่สุด)
👉 ปี 2015 จีนประกาศนโยบาย Made in China 2025 ทำให้สหรัฐฯ ออกนโยบายตอบโต้จนกลายเป็น US-China Trade War ในปี 2018 สมัยประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์
👉 จีนต้องนำเข้าทั้งเทคโนโลยีและวัตถุดิบที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตจากทั้งไต้หวัน, เกาหลีใต้, และญี่ปุ่น จึงขาดดุลการค้าด้วยตลอด
👉 จีนยังมีอัตราการพึ่งพาตนเอง (Self-Sufficiency Rate) ที่ต่ำสำหรับเทคโนโลยีที่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสูง (High Barrier to Entry) เช่น Semiconductor ซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต นั่นหมายความว่าจีนจะต้องเร่งลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้นนโยบายพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีนั้นเป็นกุญแจสำคัญที่จะลดความเสี่ยง De-Globalization ให้กับจีน รวมถึงการขยายฐานการผลิตออกไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นทางผ่านให้สามารถค้าขายในเวทีโลกได้ ซึ่งในเดือน ก.ย. 2023 บริษัท SMIC ของจีนก็สามารถผลิตชิป 7 นาโนเมตรเองได้สำเร็จแล้ว
กล่าวโดยสรุป โครงสร้างเศรษฐกิจจีนมีการเปลี่ยนแปลงไปมากจากในอดีตเทียบกับปัจจุบัน จากเศรษฐกิจที่เคยเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยอาศัยความได้เปรียบด้านแรงงาน, ที่ดิน, และเงินลงทุนจากต่างประเทศ กำลังถูกท้าทายโดยโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป, ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์กับประเทศคู่ค้า, ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายมาก
อย่างไรก็ดี มาตรการผ่อนคลายในตลาดอสังหาริมทรัพย์, ตลาดการเงินและตลาดทุน, ตลาดสินเชื่อภาคเอกชน, หุ้นกู้ของรัฐบาลท้องถิ่น, การลดดอกเบี้ยนโยบาย ที่จีนทยอยประกาศออกมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมานี้ เริ่มจะสะท้อนออกมาในตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนบางส่วน ซึ่งนักลงทุนยังต้องติดตามต่อไปและเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการลงทุนเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง
12 Sep 2023 บทความโดย: ธีรดา กอศรีลบุตร CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ
…………………………………………………….
📌 #ลงทุนหุ้นต่างประเทศ กับบริษัทหลักทรัพย์ CGS-CIMB ให้คุณลงทุนในหุ้นชั้นนำกว่า 20 ประเทศทั่วโลกในที่เดียว ผ่านระบบซื้อขายแบบ real-time รวมถึงบทวิเคราะห์ในระดับ Award Winner ที่จะทำให้การลงทุนของท่านไม่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอีกต่อไป
ทำไมต้องเลือกลงทุนต่างประเทศกับ CGS-CIMB
1. โปรแกรมซื้อขายที่มีฟังก์ชันครบครัน ใช้งานง่ายได้ทุกที่ทุกเวลา
2. บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ครอบคลุมภูมิภาคระดับสากลอย่าง Raymond James
3. ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่ให้คุณมากกว่า
4. เลือกแลกเปลี่ยนได้มากถึง 7 สกุลเงินโดยไม่มีขั้นต่ำ
📌 เริ่มต้นลงทุนในต่างประเทศได้แล้ววันนี้ เพียงเปิดบัญชีซื้อขายผ่านออนไลน์ ได้ที่ https://requestonline.cimbsecurities.co.th/requestonlinv/OPENACCOUNT/?refer=KP
📌 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ☎️ 0-2841-9000 กด 1 กด 4 📧 bk.cbt@cgs-cimb.com
