
ทิศทางราคาน้ำมันในขณะนี้ ถือว่าปรับตัวสูงขึ้นมาก ดูจากราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ปรับเพิ่มกว่า 15 $/BBL จากช่วงต้นเดือน ก.ค. ที่ระดับ 75 $/BBL มาเคลื่อนไหวที่ระดับเหนือ 90 $/BBL ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบปีนี้เลยก็ว่าได้ แนวโน้มราคาน้ำมันต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร? แล้วจะกระทบกับราคาน้ำมันขายปลีกในไทยหรือไม่? Trader KP จะวิเคราะห์ให้ฟัง
เข้าใจราคาน้ำมันดิบ
ก่อนจะไปถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูป คงปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาน้ำมันดิบมีผลมากต่อทิศทางราคา และยังถือเป็น indicator ที่ง่ายที่สุด ที่เราจะใช้ในการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน โดยในครั้งนี้เราจึงอยากจะพูดถึงในส่วนของน้ำมันดิบในตลาดโลกให้นักลงทุนได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าน้ำมันดิบทั่วโลก ไม่ได้มีแค่ 1-2 ชนิด แต่มีมากกว่า 100 ชนิด ซึ่งในเนื้อน้ำมันดิบแต่ละชนิดทั่วโลกก็จะมีความหนักและความสกปรกที่แตกต่างกันออกไป
- น้ำมันดิบชนิดเบา (Light Crude) จะผลิตได้น้ำมันสำเร็จรูปจำพวกน้ำมันเบนซินเป็นหลัก
- น้ำมันชนิดหนักปานกลาง (Medium Crude) จะผลิตได้น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล
- น้ำมันดิบชนิดหนัก (Heavy Crude) จะผลิตได้น้ำมันเตา หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักว่าเป็นน้ำมันที่นำไปใช้ในโรงไฟฟ้านั่นเอง
นอกจากความหนักแล้ว ความสกปรกหรือสารเจือปนที่เป็นอันตราย เช่น สารซัลเฟอร์ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนให้ความสำคัญ และเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันได้ส่วนหนึ่ง โดยหากน้ำมันดิบมีส่วนผสมของซัลเฟอร์สูง เรามักจะเรียกกันว่าเป็นน้ำมันดิบชนิดเปรี้ยว (Sour Crude) แต่หากมีซัลเฟอร์น้อยๆ เราก็จะเรียกว่าเป็นน้ำมันดิบชนิดหวาน (Sweet Crude) ซึ่งความต่างนี้เอง ที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในแต่ละแหล่งมีราคาที่แตกต่างกันออกไป ง่ายๆ ก็คือ ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และสิ่งเจือปนต่างๆ ในเนื้อน้ำมัน ซึ่งถ้าดูตามนี้ ก็คงเดาไม่ยากว่า น้ำมันดิบชนิดหนักและเปรี้ยว ก็มักจะมีราคาถูกกว่าน้ำมันดิบชนิดเบา-กลางและหวานเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ก็จะมีหลายราคาให้ติดตาม โดยราคาน้ำมันอ้างอิงสำคัญของโลก จะแบ่งตามแหล่งน้ำมันดิบหลัก ที่มีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ น้ำมันดิบดูไบ (Dubai), น้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) และ น้ำมันดิบ Brent
- น้ำมันดิบ Dubai : เป็นน้ำมันดิบจากแหล่งน้ำมันใต้ทะเลทรายในตะวันออกกลาง มีลักษณะหนักและเปรี้ยว (Heavy Sour Crude Oil) รวมทั้งมีค่าความหนาแน่นจำเพาะ (API Gravity) ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานในการวัดความหนักเบาของน้ำมันดิบประมาณ 31 ดีกรี
- น้ำมันดิบ West Texas Intermediate หรือ WTI : น้ำมันดิบ WTI ถูกนำมาใช้เป็นราคาอ้างอิงน้ำมันในแถบอเมริกาเหนือ มีลักษณะเบาและหวาน (Light Sweet Crude Oil) และยังเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ประเภทพลังงานที่นักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ มีการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสภาพคล่องสูงในตลาด NYMEX
- น้ำมันดิบ Brent : มีที่มาจากแหล่งน้ำมันทางทะเลเหนือ (North Sea) มีลักษณะเบาและหวาน (Light Sweet Crude) โดยค่า API อยู่ที่ประมาณ 39 ดีกรี ถือเป็นน้ำมันดิบที่มีสัดส่วน 2 ใน 3 ที่นำมาใช้อ้างอิงราคาน้ำมันดิบทั่วโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันดิบตลาดโลกกับราคาน้ำมันที่ขายปลีกในประเทศไทย
นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกกับราคาน้ำมันที่ขายปลีกในประเทศไทยนั้นถือว่ามีความสอดคล้องกัน แต่ “ไม่ได้เหมือนกัน” ซะทีเดียว ดังนั้น การที่ราคาน้ำมันในประเทศจะเปลี่ยนตามราคาน้ำมันโลกจึงอาจต้องอาศัยระยะเวลา และไม่อาจเปลี่ยนแปลงตามกันได้นาทีต่อนาที หรือแม้แต่บางทีก็มีทิศทางที่ต่างกับราคาในตลาดโลกในขณะนั้นก็เป็นได้ เหมือนเช่นในตอนนี้ ที่เรากำลังจะลดราคาน้ำมันขายปลีก ขณะที่ราคาตลาดโลกกำลังปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะราคาในไทยไม่ได้ขึ้นกับราคาเนื้อน้ำมันเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่มาประกอบกัน อาทิ ภาษีสรรพสามิต, เงินกองทุนน้ำมัน, เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน, VAT, ค่าการตลาด รวมถึงค่าใช้จ่ายของสถานีบริการต่างๆ เป็นต้น ที่มีส่วนทำให้เกิดเป็นกลไลราคาน้ำมันหน้าปั้มในบ้านเรา ซึ่งแน่นอนการที่ราคาในบ้านเราไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดย่อมแปลว่าต้องมีภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งกำลังรับหน้าที่จัดการความต่างนั้นอยู่ ขึ้นกับว่าจะเป็นภาครัฐ ผู้ผลิต หรือธุรกิจขายปลีก เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือภาคประชาชนอย่างเราๆ และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
แนวโน้มราคาน้ำมันขึ้นปีหลัง
ทิศทางราคาน้ำมันในขณะนี้ ถือว่าปรับตัวสูงขึ้นมาก ดูจากราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ปรับเพิ่มกว่า 15 $/BBL จากช่วงต้นเดือน ก.ค. ที่ระดับ 75 $/BBL มาเคลื่อนไหวที่ระดับเหนือ 90 $/BBL ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบปีนี้เลยก็ว่าได้ และจะเห็นได้ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ยังมีแนวโน้มจะเห็นราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูง โดยรายงานจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA ที่มีการระบุในรายงาน Short-Term Energy Outlook (STEO) ฉบับล่าสุด ในเดือนนี้ (13 ก.ย.) มองว่าการปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัสและซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการส่งออกของรัสเซียที่มีแนวโน้มปรับลดลงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวสูงขึ้น และย้ำชัดด้วยการประกาศขยายการลดกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียและการลดการส่งออกของรัสเซียที่ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีเมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อสมทบกับการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตอื่นๆ ในกลุ่มโอเปกพลัสจนถึงปลายปี 2024 ที่ประกาศออกมาแล้วก่อนหน้านี้ จะทำให้สมดุลในตลาดน้ำมันเกิดความตึงตัว นอกจากนี้ ราคายังได้รับอานิสงส์จากการที่ตลาดคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ หรือการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) หลังตัวเลขเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ด้านความต้องการใช้น้ำมันโลก IEA ยังมองว่าเฉลี่ยทั้งปี 2023 จะมีแนวโน้มเติบโตที่ระดับ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเป็นการเติบโตจากจีนกว่า 70% แต่ไม่เพียงปัจจัยเชิงบวกที่ส่งแรงหนุนให้ราคาน้ำมันคลื่อนไหวในระดับที่สูงขึ้นอยู่ในขณะนี้ ความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจก็ใช่ว่าจะหมดไปซะทีเดียว โดยในรายงานฉบับดังกล่าวของ IEA แม้จะมีการปรับคาดการณ์ในไตรมาส 3/23 ขึ้น แต่ได้มีการลดคาดการณ์ในช่วงไตรมาส 4/23 ลง โดยเป็นการลดลงของอัตราการเติบโต (Growth) ในช่วงหลังของปีจากความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจของจีนที่อาจเติบโตน้อยกว่าที่หลายๆ คนคาดการณ์ก่อนไว้ก่อนหน้านี้ และยังมีความไม่แน่นอนโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงตลาดยังคงต้องจับตาการขึ้น/คงอัตราดอกเบี้ยของ FED ซึ่งล้วนทำให้ตลาดน้ำมันยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดโลก หนึ่งในวิธีเก็งกำไรราคาน้ำมัน
เดิมสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าเป็นลักษณะของสัญญาว่าจะซื้อ-ขายตามรอบแต่ละเดือน เมื่อครบกำหนดก็จะมีการส่งมอบน้ำมันจริง ซึ่งผู้ที่เข้ามาทำการซื้อขายสัญญานี้คือฝั่งผู้ผลิตที่เข้าคู่สัญญาเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าสามารถขายน้ำมันที่ผลิตออกมาได้ในอนาคต ในขณะที่ผู้ซื้อเช่น โรงกลั่นก็ต้องการทำสัญญาเพื่อให้ได้น้ำมันที่จะใช้ในการผลิตในราคาที่ตกลงกัน แต่ในปัจจุบันสัญญารูปแบบนี้เปิดให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ผ่านตลาดซื้อขายอนุพันธ์ เช่น ตลาด CME Group เพื่อเปิดโอกาสการทำกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางราคาน้ำมันนั่นเอง
ข้อดีของการลงทุนในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ
- สามารถซื้อขายเก็งกำไร สร้างโอกาสทางการลงทุน
- สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ เนื่องจากเป็นสัญญาซื้อขายที่มีมูลค่าสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ด้วย
- วางกลยุทธ์การลงทุนได้ตามแนวโน้มตลาด ไม่ว่าจะขาขึ้น หรือขาลง
- มีเครื่องมือการลงทุนที่ทันสมัย สามารถตั้งคำสั่งและส่งคำสั่งได้เช่นเดียวกับนักลงทุนในตลาดโลก
- การติดตามขึ้นลง หรือการเปลี่ยนแปลงของราคามีข้อมูลอ้างอิงที่ติดตามได้ทุกวัน จากแหล่งข่าวต่างๆ เช่น Reuters, CNBC, Bloomberg และ/หรือรายงานจาก IEA เป็นต้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวตามข่าวอุปสงค์-อุปทาน หรือคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตในอนาคต, การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่เรื่องภาวะสงคราม
ตลาดซื้อขายที่เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลกก็คือ ตลาด CME Group ซึ่งถือเป็นตลาดซื้อขายอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกที่รวมไว้ให้กับนักลงทุน รวมไปถึงน้ำมันดิบ NYMEX นั่นเอง หนึ่งในผู้ให้บริการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า คือ MTS Capital ที่มีบริการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า WTI ที่มีครบทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นขนาด 1000 บาร์เรล, 500 บาร์เรล หรือแม้แต่สัญญา Micro WTI จึงทำให้การเข้าถึงสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และทำให้นักลงทุนไทยสามารถรับบริการหรือข้อมูลความรู้ได้อย่างครบวงจร
เนื่องจาก MTS Capital เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ถูกต้อง ได้รับการรับรองจาก CME Group รวมไปถึงยังให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้อย่างสะดวกด้วยเครื่องมือชั้นนำที่ดีที่สุดวันนี้อย่าง Meta Trader 5 หรือ MT5 จึงสร้างความหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้สนใจลงทุนในตลาดน้ำมัน ก็สามารถลงทุนได้ มีงานสัมมนาพร้อมให้ความรู้ และเครื่องมือครบกับ MTS Capital
สามารถรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง https://bit.ly/Line_MTSxTraderKp หรือโทร 02 770 7799 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
#TraderKP #ทันโลกกับTraderKP #MTS #MTSCapital
