
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนคุ้นชินกับภาวะดอกเบี้ยขาลงมาโดยตลอด จนกระทั่งปีที่ผ่านมา FED ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง โดย ณ ปัจจุบัน US Fed fund rate ขึ้นมาอยู่ที่ 5.5% ต่อปี (พ.ย. 2566) ในขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นเช่นกัน เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจไทยและรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับปกติ ซึ่ง อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% ต่อปี โดยครั้งล่าสุดเมื่อเดือน กันยายน 2566 เป็นครั้งแรกที่ กนง. ส่งสัญญาณว่า “ใกล้จบรอบ” วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้แล้ว ทำให้เป็นที่น่าเชื่อว่าหากอัตราดอกเบี้ยกลับตัวเป็นขาลงอีกครั้ง จะทำให้การลงทุน ณ ปัจจุบัน ในตราสารหนี้อย่าง “หุ้นกู้” จะยิ่งได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต ประกอบกับ นักวิเคราะห์และนักลงทุนระดับโลกหลายท่านเช่น Howard Marks ยังออกมาพูดว่า “ภาพโอกาสการลงทุนต่อจากนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” และ “การลงทุนในตราสารหนี้อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารทุน” (Investors today can get equity-like returns from investments in credit) หรือ Jeffrey Gundlach ผู้ที่มีฉายาว่า Bond King ก็ออกมาพูดว่า ในหลายปีข้างหน้านี้ “หุ้นกู้เอกชนชั้นดีจะเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุด”
ในอดีตนักลงทุนได้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่างๆ สูง เนื่องด้วยภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) ของธุรกิจก็ต่ำตามไปด้วย แต่ต่อจากนี้ไปเราอาจไม่ได้เห็นภาพนี้อีกนาน โดยเม็ดเงินของนักลงทุนอาจมีการเคลื่อนย้ายออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นไปสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ และในฝั่งนักลงทุนไทยเองก็ต้องจับตามองหลายๆ ปัจจัย รวมถึงดุลการค้า ว่าจะมีผลต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศหรือไม่
ทั้งนี้ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยเกิดการกลับตัวและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโลกที่ต้องเผชิญกับ Geopolitical risks ในหลายๆด้าน แน่นอนนักลงทุนก็อยากจะย้ายเงินไปไว้ในที่ๆ ยังคงให้ผลตอบแทนในระดับที่ดีแต่มีความสม่ำเสมอและความเสี่ยงต่ำกว่า จึงทำให้การลงทุนในตราสารหนี้อย่างหุ้นกู้ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
Trader KP เลยอยากมาเล่าให้ฟังว่า ถ้าจะเริ่มลงทุนในหุ้นกู้ ต้องรู้อะไรบ้าง

ก่อนอื่นเลย หุ้นกู้คืออะไร ทำไมเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญ?
หุ้นกู้ (Debenture) ถือเป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่งที่ออกโดยบริษัทซึ่งมีสถานะเป็นผู้กู้ โดยได้กู้ยืมเงินจำนวนหนึ่งจากผู้ซื้อ หรือผู้ถือหุ้นกู้ โดยผู้กู้สัญญาว่าจะจ่ายคืนเงินจำนวนดังกล่าวในอนาคตและจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายงวดตามที่กำหนดไว้ตลอดอายุหุ้นกู้ ด้วยอัตราดอกเบี้ย (Coupon rate) ที่แน่นอน
ผู้ถือหุ้นกู้จะมีสภาพเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้น ซึ่งอาจเป็นบริษัทเอกชน องค์กร หรือ รัฐบาล ที่จะมีฐานะเป็นลูกหนี้ เพื่อนำเงินไปใช้โดยมีวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่ได้เปิดเผยไว้ในหนังสือชี้ชวน และหุ้นกู้จะมีระยะเวลาไถ่ถอนที่แน่นอน เช่น 3 ปี 10 ปี เป็นต้น
หุ้นกู้มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญเพราะมีการกำหนดผลตอบแทนและระยะเวลาที่จะจ่ายคืนเงินต้นที่แน่นอน และหากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ก็จะได้รับการชำระหนี้ก่อนหุ้นสามัญ นอกจากนี้ หุ้นสามัญให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลและ Capital Gain ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดอัตราที่แน่นอน และราคาหุ้นก็อาจมีความผันผวนซึ่งอาจทำให้ขาดทุนก็ได้
แต่ถึงแม้การลงทุนในหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง เพราะต้องประเมินถึงคุณภาพของกิจการของผู้ออกหุ้นกู้ว่ามีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นกับผู้ถือหุ้นกู้หรือไม่ ซึ่งโดยปกติจะดูกันที่ Credit rating ซึ่งระดับที่น่าลงทุน คือ Investment grade ซึ่งคือตั้งแต่ BBB ขึ้นไป เพราะมีระดับความเสี่ยงที่ไม่สูงเกินไปนัก และมีผลตอบแทนในระดับดี
ข้อดีและความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นกู้
ข้อดีของการลงทุนในหุ้นกู้นั้นมาจาก
1) “ความสม่ำเสมอ” ของกระแสเงินสดที่จ่ายโดยผู้ออกหุ้นกู้ซึ่งเป็นหนึ่งใน Passive income ที่ดีทางหนึ่ง
เพราะหุ้นกู้มีการจ่ายดอกเบี้ยตลอดอายุหุ้นกู้ และมีกำหนดครบอายุที่แน่นอน ทำให้ผู้ลงทุนทราบได้ล่วงหน้าว่าจะได้เงินเท่าไหร่ในวันใด ช่วยให้วางแผนการใช้เงินต่อได้โดยสะดวก
2) “เป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน” โดยปกติการวางแผนทางการเงินนั้นจะต้องประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีทั้งความเสี่ยงสูงและต่ำ ประกอบรวมกันเป็น Portfolio การลงทุน ซึ่งการลงทุนในหุ้นกู้ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ควรมีเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง
แต่ถึงแม้การลงทุนในหุ้นกู้จะมีข้อดี แต่ก็ผู้ลงทุนต้องไม่ลืมพิจารณาถึงความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นกู้ด้วย ซึ่งหุ้นกู้มีความเสี่ยงที่บริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นอาจล้มละลายและอาจทำให้เราไม่ได้รับเงินต้นคืน ดังนั้นการเลือกหุ้นกู้ที่ลงทุนจึงควรพิจารณาควบคู่กับ Credit rating ด้วย อีกทั้งการลงทุนในหุ้นกู้
มักพบปัญหาเรื่องสภาพคล่องหากเราต้องการใช้เงินก่อนถึงกำหนดวันไถ่ถอนหุ้นกู้ จึงต้องพิจารณาก่อนการเข้าลงทุนด้วยว่า สภาพคล่องของเรามีเพียงพอหรือไม่ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้ ก็ทำให้หุ้นกู้มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากกว่าการฝากเงินในธนาคารตามปกติ เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนต้องแบกรับแต่อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นกู้นั้นก็ยังถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ

หุ้นกู้มีประเภทอะไรบ้าง
หุ้นกู้นั้นมีหลายประเภท สามารถแบ่งได้หลายแบบ แต่ที่พบได้โดยทั่วไป มี 2 กลุ่ม ดังต่อไปนี้:
- หุ้นกู้ด้อยสิทธิ และ หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Subordinated debenture and Senior debenture) คือ แบ่งประเภทโดยสิทธิการรับชำระหนี้ของผู้ถือหุ้นกู้ โดยผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิจะได้รับการชำระหนี้หลังผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิหากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ล้มละลาย
- หุ้นกู้ชนิดมีประกัน และ หุ้นกู้ชนิดที่ไม่มีประกัน (Secured debenture and Unsecured debenture) คือ แบ่งประเภทโดยหลักประกันของหุ้นกู้ตัวนั้นๆ โดยหุ้นกู้ที่มีประกัน คือผู้ออกหุ้นกู้อาจนำสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน หลักทรัพย์ มาค้ำประกันการชำระหนี้หุ้นกู้ หรืออาจมีผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ และหากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้สามารถบังคับเอาหลักประกันที่ค้ำอยู่เพื่อชำระหนี้ได้ก่อน จึงทำให้หุ้นกู้ชนิดมีประกันมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าหุ้นกู้ชนิดที่ไม่มีประกัน

เริ่มต้นลงทุนในหุ้นกู้อย่างไร
การลงทุนในหุ้นกู้ จริงๆ แล้วคงไม่มีใครปฏิเสธว่าน่าสนใจ แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรคหลายอย่าง เช่น
- การจองซื้อหุ้นกู้ยุ่งยาก ต้องไปสาขาของธนาคาร ใช้เอกสารมากมาย
- การเก็บใบหุ้นกู้ก็มีความเสี่ยงจะสูญหาย และนับรวมยอดยาก ทั้งยังไม่รู้ว่าดอกเบี้ยจะจ่ายเข้าบัญชีไหน
- หากจะเก็บแบบไร้ใบ ก็ต้องเปิดบัญชีหลักทรัพย์ เซ็นเอกสารมากมาย และไม่ได้สนใจจะลงทุนในหุ้นสามัญ
- ไม่เห็นภาพรวมในที่เดียวว่ามีหุ้นกู้ทั้งหมดในพอร์ทเท่าไหร่ ยอดคงเหลือเท่าไหร่ ต้องมารวมเอง
แต่ปัจจุบันนี้ การลงทุนในหุ้นกู้นั้นไม่ได้ยากเหมือนในอดีตอีกต่อไป นักลงทุนสามารถซื้อผ่านช่องทางดิจิทัลได้และที่สำคัญสามารถเก็บหุ้นกู้แบบไร้ใบมารวมในแอปเดียว อย่างเช่น ฝากไว้กับ “บัญชีหุ้นกู้ EASY-D” ในแอปพลิเคชัน SCB EASY จากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ตอบโจทย์นักลงทุนหุ้นกู้ด้วยฟังก์ชันเด่นคือ
- จองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอป SCB EASY และฝากหุ้นกู้แบบไร้ใบเข้าบัญชีหุ้นกู้
- รวมการลงทุนหุ้นกู้อยู่บนแอป SCB EASY ที่เดียว เห็นยอดหุ้นกู้ทั้งหมดที่ฝากไว้ในบัญชีหุ้นกู้
- ฝากใบ-รับโอนหุ้นกู้ ทำได้ครบ ให้จัดการหุ้นกู้ได้ง่ายขึ้น
- ดอกเบี้ยและเงินต้นโอนเข้าบัญชี SCB ที่ผูกกับแอป SCB EASY
การเปิดบัญชีหุ้นกู้ EASY-D ก็ง่ายมากๆ สามารถทำผ่านแอป SCB EASY จากที่บ้านได้เลยหากเคยยืนยันตัวตนกับธนาคารมาแล้ว แค่กดเข้าแอป SCB EASY ไปที่เมนู “การลงทุน” เลือก “หุ้นกู้” แล้วกดลงทะเบียน และดำเนินการตามขั้นตอนเท่านั้น ก็จะเป็นการเปิดบัญชีหุ้นกู้เรียบร้อย และเมื่อถึงวันจองซื้อหุ้นกู้ ก็สามารถเข้ามาทำรายการจองซื้อได้เลย
และจุดเด่นที่ Trader KP ชอบที่สุดคือการนำใบหุ้นกู้ที่มีอยู่มาฝากเข้าบัญชีหุ้นกู้ EASY-D ได้ด้วย โดยนำใบหุ้นกู้ไปติดต่อที่สาขาของธนาคารเพื่อนำฝาก หรือหากต้องการโอนหุ้นกู้ที่ฝากอยู่กับบริษัทหลักทรัพยฺอื่นก็สามารถโอนมาฝากในบัญชีหุ้นกู้ EASY-D ได้ โดยไปติดต่อขอโอนที่บริษัทหลักทรัพย์ต้นทาง ซึ่งเมื่อฝากใบหุ้นกู้หรือรับโอนหุ้นกู้เข้าบัญชีสำเร็จก็สามารถเช็คยอดหุ้นกู้ผ่านแอปได้เลย ทำให้เห็นยอดรวมของทุกหุ้นกู้ที่เรามีเป็น Consolidating View และดอกเบี้ยหรือเงินต้นของหุ้นกู้ ก็โอนเข้าบัญชีเดียวอีกด้วย
ส่วนคนที่เริ่มสนใจลงทุนในหุ้นกู้หากมีสัญชาติไทย และอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป สามารถเปิดบัญชีหุ้นกู้ EASY-D เตรียมไว้ได้เลย ทำได้ง่ายมาก ๆ ผ่านแอป SCB EASY จากที่บ้านได้เลยหากเคยยืนยันตัวตนกับธนาคารมาแล้ว แค่กดเข้าแอป SCB EASY ไปที่เมนู “การลงทุน” เลือก “หุ้นกู้” แล้วกดลงทะเบียน และดำเนินการตามขั้นตอนเท่านั้น ก็จะเป็นการเปิดบัญชีหุ้นกู้เรียบร้อย และเมื่อถึงวันจองซื้อหุ้นกู้ ก็สามารถเข้ามาทำรายการจองซื้อได้เลย
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-777-6784
หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.scb.co.th/th/personal-banking/digital-banking/scb-easy/easy-d-info.html
และลิงก์เปิดบัญชีหุ้นกู้ EASY-D ง่าย ๆ ผ่านแอป SCB EASY ได้เลยวันนี้
(บนมือถือเท่านั้น) https://link.scb/3TDMdQ0
