SCB WEALTH จับมือ BlackRock ผู้บริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก! สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการบริหารความมั่งคั่งของไทย

ความร่วมมือกัน ระหว่าง SCB WEALTH และ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่สู่ตลาดการเงินไทย

การเป็นพันธมิตรระหว่างสองยักษ์ใหญ่นี้ ถือเป็นปรากฎการณ์ใหม่ของ Wealth Management ของเมืองไทย อย่างแท้จริง เพราะ SCB WEALTH เป็นหนึ่งหน่วยธุรกิจที่สำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ และเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทย ในขณะที่ BlackRock เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่สุดในโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567)

นี่คือการร่วมมือครั้งสำคัญที่ไม่ได้เป็นเพียง “ดีลธุรกิจ” แต่เป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไทย ในยุคที่โลกการลงทุนมีทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย การจับมือกันในครั้งนี้ จะช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนและเครื่องมือระดับโลกได้ง่ายขึ้น เป้าหมายหลักของความร่วมมือระหว่าง SCB WEALTH และ BlackRock คือ การสร้างโอกาสการลงทุนที่หลากหลายให้กับลูกค้า รวมถึงมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นกว่าการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว รู้จักการบริหารความเสี่ยง เพื่อความมั่งคั่งทางการเงินที่แข็งแกร่งในอนาคต

คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เจาะลึกทุกมิติของการลงทุนแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นการรวมพลังยกระดับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของ SCB WEALTH ให้มีความแข็งแกร่งขึ้น มีการให้บริการเทียบเท่ามาตรฐานสากลเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า

เราใช้เวลาในการศึกษาและทำความรู้จักกันมาเป็นปี ทำให้เห็นว่า BlackRock มีแนวคิดในการทำงานที่สอดคล้องกับ SCB WEALTH ในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) มุ่งสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า และ มองการบริหารความมั่งคั่งเป็นการลงทุนระยะยาว

โดยเราจะผนึกกำลังกันใน 5 แนวทางหลัก ได้แก่

1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ลงทุนให้หลากหลายและออกแบบเฉพาะลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น

2) การทำงานวิจัย เพื่อให้บทวิเคราะห์ข้อมูลตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

3) ยกระดับพัฒนาศักยภาพที่ปรึกษาทางการเงิน(RM) ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยยึดกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

4) Co-Brand Marketing จัดสัมมนาให้ความรู้นักลงทุนทั่วประเทศ เพื่อสร้างแบรนด์ SCB WEALTH ให้แข็งแกร่งในระดับ Global

5) BlackRock จะให้คำปรึกษาและแชร์ประสบการณ์ด้านการบริหารความเสี่ยง เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

คุณแอนดรูว์ แลนด์แมน รองประธานภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิค และประธานด้านบริหารความมั่งคั่ง เอเชีย แปซิฟิค BlackRock กล่าวว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ SCB WEALTH ที่มีความมุ่งมั่นและให้ความสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าเป็นตัวตั้ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ BlackRock ที่ให้ความสำคัญในการสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าในฐานะที่เป็นผู้จัดการกองทุน

SCB WEALTH เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไทยที่ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากลูกค้าเป็นอย่างดี มีกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกสูง มีฐานกลุ่ม High net worth ที่แข็งแกร่ง มีช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย และมีความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง การร่วมมือในครั้งนี้ BlackRock จะนำความเชี่ยวชาญในทุกๆ มิติมาสนับสนุน SCB WEALTH ได้เป็นอย่างดี

ธุรกิจ Wealth Management ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 6% และคาดว่าภายในปี 2571 มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการในส่วนของการลงทุน (Asset Under Advisory: AUA) ของนักลงทุนไทยจะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธนาคารและธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ตลาดที่กำลังขยายตัว

📌 BlackRock: ยักษ์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงตลาดการลงทุนโลก

BlackRock คือใคร และทำไมถึงสำคัญ?

BlackRock เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมูลค่า 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล 31 ธันวาคม 2024) และให้บริการลูกค้าด้วยเครือข่ายสำนักงานกว่า 170 แห่งใน 40 ประเทศทั่วโลก

ด้วยขีดความสามารถในการลงทุนระดับโลก BlackRock สามารถเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถบรรลุเป้าหมายในการลงทุนของตนเองได้ BlackRock เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการลงทุน เช่น แพลตฟอร์ม iShares ETF และการลงทุนแบบ ซึ่งผสมผสานการใช้ big data, วิทยาการข้อมูล , และความเชี่ยวชาญเชิงลึกของมนุษย์มาทำให้เกิดเป็นวิธีการลงทุนในรูปแบบใหม่ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาด ETF สูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังมี Aladdin AI ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและบริหารความเสี่ยง ที่ถูกใช้โดยสถาบันการเงินชั้นนำ ธนาคารกลาง และรัฐบาลทั่วโลก ทำให้ BlackRock มีข้อมูลมหาศาล และด้วยจุดแข็งเหล่านี้ BlackRock เลยเป็นผู้นำ ในด้าน Global Asset Allocation หรือการจัดพอร์ตแบบองค์รวมที่กระจายในหลากหลายสินทรัพย์ เพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

📌SCB WEALTH: หนึ่งในผู้นำตลาด Wealth Management ของเมืองไทย

SCB เป็นธนาคารชั้นนำของประเทศไทย ด้วยฐานลูกค้ากว่า 18 ล้านราย และนักลงทุนกลุ่ม Wealth มากกว่า 500,000 ราย ปัจจุบัน SCB มีสาขาทั่วประเทศกว่า 870 แห่ง มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และ มีฐานลูกค้าระดับ High Net Worth ที่แข็งแกร่ง มีความเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดีและดูแลกันจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน

ดังนั้น เมื่อ SCB WEALTH x BlackRock จึงถือเป็นการพลิกโฉมการลงทุนในไทยครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะขยายโอกาสการลงทุนระดับโลกให้กับคนไทย

📌 ปรากฎการณ์ที่น่าจับตามอง:

✅ กองทุนแนวคิดใหม่ –ผลิตภัณฑ์ลงทุนที่ออกแบบเฉพาะลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น

✅ จัดทำบทวิเคราะห์ เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่แม่นยำขึ้น

✅ พัฒนาศักยภาพ RM – เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ด้านการลงทุน เข้าใจผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างลึกซึ้งและยกระดับการให้บริการเทียบเท่ามาตรฐานสากล

✅ การทำตลาดแบบ Co-Brand Marketing ให้ความรู้นักลงทุนทั่วประเทศ ได้เข้าใจผลิตภัณฑ์ลงทุนอย่างแท้จริง

BlackRock เป็นกำลังสำคัญในการช่วยนำพาให้ SCB WEALTH มุ่งสู่การลงทุนระดับโลก โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 180,000 ล้านบาทในปี 2569 เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงโซลูชั่นการลงทุนระดับโลกมากขึ้น ได้สัมผัสนวัตกรรมการลงทุนใหม่ๆ ที่มีคุณภาพสูงโดยเฉพาะในปัจจุบันที่ตลาดมีความผันผวน และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ความร่วมมือครั้งนี้อาจเป็น Game Changer สำหรับนักลงทุนไทย และเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ SCB WEALTH ก้าวสู่มาตรฐานการลงทุนระดับโลกอย่างแท้จริง และพร้อมขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของประเทศไทย ภายในปี 2569

#SCBWEALTH#BlackRock#WealthManagement#InvestSmart#GoGlobal#YourSuccessOurSuccess

คำเตือน

– การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรมทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

– ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต