ในโลกการลงทุน มีเครื่องมือหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็น “พลังวิเศษ” ของนักลงทุนและนักธุรกิจระดับโลก เพราะสามารถทำให้ผลตอบแทนงอกเงยจากเงินต้นเพียงเล็กน้อยได้หลายเท่าตัว เครื่องมือนั้นก็คือ Leverage (เลเวอเรจ)
.
หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้าคนรวยมีเงินเยอะอยู่แล้ว ทำไมยังต้องกู้ หรือยืมเงินมาลงทุนอีก? คำตอบก็คือ เพราะ Leverage ไม่ได้มีไว้สำหรับ “คนที่เงินไม่พอ” เท่านั้น แต่เป็น กลยุทธ์ทางการเงิน ที่ช่วยเร่งการเติบโต สร้างความมั่งคั่ง และทำให้พอร์ตการลงทุนของพวกเขาทวีคูณเร็วกว่าการใช้เงินสดเพียงอย่างเดียว
.
อย่างไรก็ตาม พลังที่ยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มหาศาลเช่นกัน หากใช้โดยไม่เข้าใจหรือประมาท Leverage อาจทำให้ “พอร์ตแตก” ได้ในพริบตา
.
แล้วจริงๆ แล้ว Leverage คืออะไร? ทำไมมหาเศรษฐีถึงนิยมใช้? และอะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนหลายคนล้มเหลวจากการใช้มัน? บทความนี้จะมาสรุปให้ฟัง
—————————–
📣 ใครที่อยากเริ่มต้นเรียนรู้การเทรด Futures และ Options แบบเข้าใจง่าย และที่สำคัญ…ใช้ได้จริง
.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดคอร์สสอนฟรี “21 Day Challenge TFEX” สมัครฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
รีบลงทะเบียนเลยวันนี้ ถึง 30 กันยายน 👉 https://s.setth.org/4r9
——————————
🔎 Leverage คืออะไร?
.
Leverage (เลเวอเรจ) คือการ “ยืมพลังของเงินทุนคนอื่น” มาใช้ลงทุน เพื่อให้ผลตอบแทนที่ได้ ทวีคูณมากขึ้น จากเงินต้นที่เรามีอยู่จริง ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเรามีเงินทุน 100,000 บาท และใช้ Leverage 1:10 เราสามารถเปิดสถานะการลงทุนได้เท่ากับ 1,000,000 บาท
.
ถ้าสินทรัพย์ที่เราลงทุนปรับขึ้น 5% → กำไรที่แท้จริงจะเท่ากับ 50,000 บาท จากเงินลงทุนจริง 100,000 บาท เท่ากับได้ผลตอบแทน 50% ในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นพลังที่ทำให้ Leverage กลายเป็น “ดาบวิเศษ” สำหรับนักลงทุน
.
🔎 ทำไมคนรวยถึงชอบใช้ Leverage?
.
หลายคนอาจคิดว่า คนรวยไม่จำเป็นต้องกู้หรือยืมใคร แต่ความจริงแล้วเศรษฐีหลายคน ยิ่งรวย ยิ่งใช้ Leverage เพราะ:
.
1️⃣ ใช้เงินของคนอื่น (OPM: Other People’s Money)
.
ไม่จำเป็นต้องใช้แต่เงินตัวเองทั้งหมด ถ้ามีโอกาสลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยกู้ยืม ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะใช้เงินทุนภายนอก
.
2️⃣ กระจายการลงทุน
.
หากมีทุน 100 ล้าน คนรวยอาจไม่ลงทั้งหมดในที่เดียว แต่เลือกใช้ Leverage เพื่อให้สามารถกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น อสังหา หรือธุรกิจใหม่ๆ ได้พร้อมกัน
.
3️⃣ ผลตอบแทนทวีคูณ
.
สมมติลงทุนโครงการอสังหาฯ ใช้เงินตัวเอง 20% ที่เหลือกู้ธนาคาร ถ้าโครงการสำเร็จ ผลกำไรที่คำนวณจากเงินลงทุนส่วนตัวจะสูงกว่าลงเงินสดทั้ง 100% หลายเท่า
.
4️⃣ บริหารภาษีและกระแสเงินสด
.
ดอกเบี้ยเงินกู้บางกรณีสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้และยังช่วยให้มีเงินสดหมุนเวียนเพื่อลงทุนอย่างอื่นได้ต่อ
ยกตัวอย่างเช่น
.
🔵 นักลงทุนอสังหาฯ → ดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน/คอนโดเพื่อปล่อยเช่า สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนคำนวณภาษีเงินได้จากค่าเช่า
🔵 เจ้าของธุรกิจ → ถ้ากู้เงินมาลงทุนขยายกิจการ เช่น ซื้อเครื่องจักร เปิดสาขาใหม่ ดอกเบี้ยเงินกู้ถือเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้
(นี่คือเหตุผลว่าทำไมมหาเศรษฐี นักลงทุนอสังหาฯ ไปจนถึงบริษัทใหญ่ระดับโลก ต่างใช้ Leverage อย่างเป็นระบบ
.
📌 ตัวอย่างคนรวยระดับโลกกับการใช้ Leverage
.
1️⃣ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) – อสังหาริมทรัพย์
.
ทรัมป์สร้างอาณาจักรอสังหาฯ โดยแทบไม่ใช้เงินตัวเองเต็มจำนวน โครงการส่วนใหญ่เขาใส่เงินตัวเองเพียง ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือใช้เงินกู้ธนาคาร เมื่อโครงการประสบความสำเร็จ มูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นจะคิดเทียบกับเงินลงทุนส่วนตัวเพียงเล็กน้อย ทำให้ผลตอบแทน “ทวีคูณ”
.
2️⃣ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) – หุ้น Tesla
.
หลายครั้งมัสก์นำหุ้น Tesla ที่ถือครองอยู่ไป “จำนำเป็นหลักประกัน” เพื่อกู้เงินสดมาลงทุนต่อ เช่น ลงทุนใน SpaceX หรือโครงการอื่นๆ เขาไม่จำเป็นต้องขายหุ้นเพื่อได้เงิน แต่ใช้ Leverage ของสินทรัพย์ที่ถือครองเพื่อสร้างธุรกิจใหม่
.
3️⃣ เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) – Amazon และอสังหาฯ
.
แม้จะเป็นเจ้าของ Amazon แต่เบโซสก็มักใช้ Leverage ผ่านการกู้เงินเพื่อซื้ออสังหาฯ ส่วนตัวและเพื่อการลงทุน การกู้ทำให้เขาสามารถคงสภาพคล่องและเงินสดไว้ต่อยอดธุรกิจอื่น แทนที่จะใช้เงินสดทั้งหมด
.
4️⃣ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) – Berkshire Hathaway
.
หลายคนมองว่าบัฟเฟตต์เป็นนักลงทุนสาย “ปลอดภัย” แต่จริงๆ แล้วเขาใช้ Leverage อย่างชาญฉลาด โดยการ ใช้ Float ของบริษัทประกันภัย (เงินเบี้ยประกันที่เก็บมาก่อน แต่ยังไม่ต้องจ่ายเคลมทันที) ไปลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ ถือว่าเป็น Leverage แบบพิเศษ ที่ทำให้ Berkshire Hathaway เติบโตมหาศาลโดยแทบไม่ต้องกู้จากธนาคาร
.
5️⃣ นักลงทุนอสังหาฯ ระดับโลก
ไม่ว่าจะเป็นในนิวยอร์ก ลอนดอน หรือฮ่องกง นักลงทุนอสังหาฯ ระดับพันล้านใช้ Leverage เป็นเรื่องปกติ หลักการง่ายๆ คือ ใส่เงินดาวน์เล็กน้อย ที่เหลือใช้กู้ธนาคาร หากมูลค่าอสังหาฯ ขึ้น 10% เมื่อเทียบกับเงินลงทุนจริง ผลตอบแทนจริงอาจกลายเป็น 50–100% ได้
.
📌 Leverage ดีจริง แต่ก็มีความเสี่ยงที่ทำให้หลายคนถึงกับ “พอร์ตแตก”?
.
สำหรับนักลงทุนและนักเทรดที่ใช้การ Leverage เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตลงทุน ถือเป็นดาบสองคม เพราะถ้าเราคาดการณ์ผิดพลาด ความเสียหายก็จะ ทวีคูณ เช่นกัน
.
📌ตัวอย่างการใช้ Leverage
.
การซื้อสัญญา Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) ก็เป็นเครื่องมือที่ใช้การ Leverage โดยคุณวางเงินประกัน (Margin) เพียงส่วนน้อย เช่น 10–15% ของมูลค่าสัญญาจริง ก็สามารถควบคุมสัญญามูลค่าหลักแสน–หลักล้านได้
เช่น สัญญา SET50 Futures 1 สัญญา มีมูลค่าหลายแสนบาท แต่ผู้ลงทุนวางเงินประกันเพียงไม่กี่หมื่นบาทก็สามารถเปิดสถานะได้แล้ว นั่นหมายความว่า กำไรหรือขาดทุนจะถูก “ขยาย” เร็วกว่าตลาดจริงหลายเท่า
ซึ่งสาเหตุที่มีการเกิด “พอร์ตแตก” บ่อยๆ มาจาก:
.
1️⃣ ขาดทุนขยายตัวเร็ว
ถ้าสินทรัพย์ที่ลงทุนไม่ได้ขึ้นตามที่คิด แต่ลงเพียง 5% ผลลัพธ์จาก Leverage 1:10 คือ ขาดทุนถึง 50% ของเงินต้น
.
2️⃣ Margin Call
นักลงทุนที่ใช้ Leverage ผ่านโบรกเกอร์ มักเจอสิ่งที่เรียกว่า Margin Call คือ เมื่อมูลค่าพอร์ตต่ำกว่าหลักประกันขั้นต่ำ ระบบจะบังคับขาย ทำให้ขาดทุนจริงทันทีแม้ตลาดอาจฟื้นตัวภายหลัง
.
3️⃣ Over-Leverage (ใช้เกินตัว)
นักลงทุนมือใหม่มักถูกล่อตา ล่อใจด้วย Leverage สูงๆ เช่น 1:50 หรือ 1:100 เพราะหวังรวยเร็ว แต่การแกว่งเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถทำให้เงินต้นหายหมดได้
.
4️⃣ สภาพคล่องไม่พอ
หากลงทุนในสินทรัพย์ที่ขายออกยาก เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นบางตัว แล้วเจอสถานการณ์ต้องใช้เงินสดด่วน ก็อาจถูกบังคับขายขาดทุน หรือพอร์ตแตกจากหนี้ที่รับผิดชอบไม่ไหว
.
📌 วิธีใช้ Leverage ให้ “รวย” ไม่ใช่ “ร่วง”
.
• ใช้ Leverage เท่าที่พอร์ตและกระแสเงินสดรับไหว
• มีการบริหารจัดการเงินที่ดี และแบ่งสัดส่วนในการทำ Leverage เพื่อที่ว่าหากเกิดกรณีไม่คาดคิด จะ ไม่เจ็บตัวหนัก
• เข้าใจพอร์ตและสัดส่วนพอร์ตของตัวเอง อย่าเปิดหลายฝั่ง/หลายสัญญาโดยไม่รู้ Exposure รวม
• มีแผนการบริหารความเสี่ยงเสมอ เช่น การตั้ง Stop Loss
• ใช้ Leverage เพื่อกระจายโอกาส ไม่ใช่ทุ่มสุดตัวในที่เดียว
• เรียนรู้การวางแผนการเงินระยะยาว ไม่มองแค่กำไรเร็วๆ
.
📌 สรุป
Leverage เป็น พลังมหาศาล ที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้รวดเร็ว แต่ก็เป็น ดาบสองคม ที่ทำให้พอร์ตแตกได้ในพริบตา ความต่างระหว่าง “คนรวยที่ใช้ Leverage” กับ “คนที่พอร์ตแตก” คือ การวางกลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง และวินัยทางการเงิน
.
TFEX (Thailand Futures Exchange) เป็นสนามที่เปิดโอกาสให้เข้าถึง Leverage อย่างถูกต้องและมีระบบ แต่กุญแจสำคัญ คือ ต้องศึกษาให้ลึก ฝึกให้เข้าใจ ก่อนลงเงินจริง
.
📌 มาเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยกัน กับแคมเปญ 21-Day Challenge TFEX เพิ่มพลังพอร์ตด้วย Futures & Options จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ชวน TFEX มือใหม่ทำภารกิจเรียนรู้และสร้างทักษะการลงทุนใน 21 วัน เสริมความรู้ให้นักลงทุนแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย! ลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้–30 ก.ย. 68
.
เพื่อมาอัปเดตความรู้และเทรด TFEX ได้ใน 21 วัน กับ “21-Day Challenge TFEX เพิ่มพลังพอร์ตด้วย Futures & Options”
.
✅ เริ่มต้นแต่ปูพื้นฐาน ทำความรู้จักตลาด TFEX และสินค้าฟิวเจอร์ส ออปชัน
✅ สอนเทคนิคเทรดเหมือนจับมือทำ ให้คุณก้าวเข้าสู่สนามจริงแบบมั่นใจ พร้อมชวนรับชม Live! ย้อนหลังสรุปเนื้อหาเต็มอิ่มถึงกับ 3 Partโดยกูรูผู้เชี่ยวชาญด้าน TFEX
✅จัดหนัก จัดเต็ม พร้อมลุ้นรับรางวัล เพียงทำภารกิจครบแบบง่าย ๆ สมัครเข้าร่วมแคมเปญ และรับชม live! ย้อนหลัง พร้อมเช็คอินอย่างน้อย 1 ครั้ง ลุ้นรับรางวัลรวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท !!💰💸
.
เข้าร่วมแคมเปญ ฟรี!
.
📍 ดูรายละเอียดและสมัครเข้าร่วมแคมเปญ คลิก 👉 https://s.setth.org/42v
📚 ดาวน์โหลดคู่มือ Playbook คลิก 👉 https://s.setth.org/vlt
#21DayChallengeTFEX #เทรดTFEXได้ใน21วัน #SETEducation #ห้องเรียนนักลงทุน #TFEXBITES
