L&I ETFs เครื่องมือใหม่ของนักลงทุนไทย สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ผ่านบัญชีหุ้น

ที่ผ่านมา หากนักลงทุนต้องการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าตลาด หรือทำกำไรจากการเคลื่อนไหวสวนทางกับตลาด เครื่องมือหลักที่ใช้กันคือ Futures และ Options แต่เครื่องมือเหล่านี้มีความซับซ้อน ต้องวางมาร์จิ้น มีวันหมดอายุ อาจมีค่าใช้จ่ายแฝง และต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การลงทุน

เพื่อให้ นักลงทุนรายย่อย สามารถเข้าถึงกลยุทธ์ขั้นสูงได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องมาร์จิ้นหรือวันหมดอายุ ตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีผลิตภัณฑ์ใหม่ นั่นคือ Leveraged & Inverse ETFs หรือเรียกสั้นๆว่า L&I ETFs กองทุนรวมที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้นปกติ นักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านกระดานหุ้น ไม่ต้องเปิดบัญชีอนุพันธ์ และไม่ต้องกังวลวันหมดอายุ และไม่มี Time Decay

ในบทความนี้ Trader KP จะพาไปทำความเข้าใจว่า L&I ETFs คืออะไร ทำงานอย่างไร ใช้ประโยชน์ได้ในสถานการณ์ไหน และควรระวังอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยสร้างผลตอบแทนได้ในสถานการณ์ทั้งตลาดขาขึ้น และขาลง

1. L&I ETFs คืออะไร? : กองทุนขั้นสูง แต่ใช้ง่ายเหมือนซื้อหุ้น

ETF (Exchange Traded Fund) คือกองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น มีนโยบายลงทุนอ้างอิงดัชนี หุ้น หรือสินทรัพย์ เช่น SET50 หรือราคาทองคำ จุดประสงค์คือให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิงนั้น

L&I ETFs หรือ Leveraged & Inverse ETFs ก็เป็นกองทุน ETF รูปแบบหนึ่ง ที่มีนโยบายการสร้างผลตอบแทนเป็น แบบทวีคูณ (Leveraged) หรือ แบบทิศทางตรงข้าม (Inverse) กับดัชนีอ้างอิง โดยมี 3 รูปแบบที่นักลงทุนเข้าถึงได้:

  1. Leveraged ETF (2X) → ให้ผลตอบแทน 2 เท่า ของการเปลี่ยนแปลงรายวันของดัชนี เช่น ดัชนีขึ้น 1% กองทุนจะขึ้นประมาณ 2% และในทางกลับกัน หากดัชนีอ้างอิงลดลง 1% กองทุนจะลดลง 2%
  2. Inverse ETF (-1X) → ให้ผลตอบแทน ตรงข้าม 1 เท่า ของดัชนี เช่น ดัชนีขึ้น 1% กองทุนจะลดลง 1%
  3. และในทางกลับกัน หากดัชนีอ้างอิงลดลง 1% กองทุนจะเพิ่มขึ้น 1%
  4. Inverse Leveraged ETF (-2X) → ให้ผลตอบแทน ตรงข้าม 2 เท่า ของดัชนี เช่น ดัชนีลง 1% กองทุนจะขึ้น 2% และหากดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 1% กองทุนจะลดลง 2%

พูดง่าย ๆ คือ L&I ETFs เปิดโอกาสให้นักลงทุนเลือกได้ว่าจะ “เร่งกำไร” (Leveraged) หรือ “ทำกำไรสวนตลาด” (Inverse) แต่ทำในรูปแบบของกองทุนที่สามารถซื้อได้สะดวกเหมือนการซื้อหุ้นนั่นเอง

2. กลไกการทำงาน: เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน

L&I ETFs จะรีเซ็ตผลตอบแทนใหม่ทุกวัน โดยใช้ราคาปิดของวันก่อนหน้าเป็นฐาน หากถือหลายวัน ผลตอบแทนอาจต่างจากระดับ Leveraged ที่กำหนด เพราะเกิด “การทบต้น”

สิ่งที่ทำให้ L&I ETFs ทำงานได้ คือกลไก Daily Rebalancing และ Compounding Effect

  • Daily Rebalancing → กองทุนจะปรับการคำนวณผลตอบแทนใหม่ทุกวัน โดยใช้ระดับราคาปิดของวันก่อนหน้าเป็นฐานในการคำนวณ เพื่อรักษาระดับอัตราทดตามที่กำหนด เช่น 2X หรือ -1X หมายความว่าผลตอบแทนที่ได้เป็น “รายวัน”
  • Compounding Effect → เมื่อถือข้ามวัน ผลตอบแทนจริงอาจไม่ตรงกับอัตราทด (Leverage) ที่ระบุไว้เนื่องจากการคำนวณผลตอบแทนใหม่ทุกวัน ทำให้เกิดผลของการทบต้น ซึ่งส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวม

ตัวอย่าง:

  • นาย A ซื้อ Leveraged ETF (2X) ที่ 100 บาท ตอนดัชนีอยู่ที่ 100 จุด
  • วันที่ 1 ดัชนี 100 จุด→มูลค่ากองทุน ไม่เปลี่ยนแปลง
  • วันที่ 2 ดัชนีขึ้น 10% →มูลค่ากองทุน ขึ้น 20% = 120 บาท
  • วันที่ 3 ดัชนีกลับมาที่ 100 จุด (-9.09% จาก 110 จุดของวันก่อนหน้า) → ETF ลดลง -18.18% = 98.18 บาท  
    แม้ดัชนีกลับมาที่จุดเริ่มต้น แต่ มูลค่ากองทุนยังต่ำกว่าราคาแรกเริ่ม นี่คือผลของ Compounding Effect ที่ทำให้ L&I ETFs เหมาะสำหรับ ลงทุนระยะสั้น ไม่ใช่การถือยาว
  • ใช้ประโยชน์อย่างไร? เหมาะกับสถานการณ์ไหน

L&I ETFs เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่น เหมาะสำหรับ:

  • Active Trader ที่อยากสร้างผลตอบแทนทวีคูณตามทิศทางตลาด
  • Hedger นักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง โดยใช้ Inverse ETF เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตหุ้นในช่วงตลาดลง

สถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้ L&I ETFs คือ

📈 ตลาดขาขึ้นชัดเจน → ซื้อ Leveraged ETF (2X) เพื่อเร่งกำไร

📉 ตลาดขาลงแรง → ซื้อ Inverse ETF (-1X หรือ -2X) เพื่อทำกำไรสวนตลาด

🛡️ ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) → นักลงทุนที่ถือหุ้นในพอร์ตอยู่แล้ว แต่กังวลว่าตลาดจะลง สามารถซื้อ Inverse ETF มาช่วยชดเชยความเสี่ยงได้

  • อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรใช้ L&I ETFs ในช่วงตลาด Sideway เพราะผลของ Compounding Effect ทำให้การแกว่งตัวบั่นทอนผลตอบแทน แม้ดัชนีจะ “ไม่ไปไหน”
  • และหากจะซื้อถือเกิน 1 วัน ควรจะมั่นใจว่าตลาดทีทิศทางเดียวอย่างต่อเนื่อง เช่น ขึ้นต่อเนื่อง หรือ ลง ต่อเนื่อง

ตัวอย่างสถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้ Leverage ETFs (2x)

นักลงทุน A มองว่า ดัชนีจะเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง หากมองถูก เช่น สมมติว่าดัชนีขึ้นวันละ +10% ติดต่อกัน 4 วัน

Day 0: ราคาดัชนี 100 จุด / มูลค่า Leveraged ETF 100.0 / ผลตอบแทนสะสมทั้งดัชนีและ ETF 0%

Day 1: ราคาดัชนี 110 จุด / ผลตอบแทนสะสมของดัชนี 10% / ผลตอบแทนสะสมของ ETF 2X 20%

Day 2: ราคาดัชนี 121 จุด / ผลตอบแทนสะสมของดัชนี 21% / ผลตอบแทนสะสมของ ETF 2X 44%

Day 3: ราคาดัชนี 133.1 จุด / ผลตอบแทนสะสมของดัชนี 33% / ผลตอบแทนสะสมของ ETF 2X 73%

Day 4: ราคาดัชนี 146.4 จุด / ผลตอบแทนสะสมของดัชนี 46% / ผลตอบแทนสะสมของ ETF 2X 107%

  • จะเห็นว่าดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 46% ภายใน 4 วัน ในขณะที่ 2X leveraged ETF ให้ผลตอบแทนสะสมถึง 107% ซึ่งมีผลตอบแทนมากกว่าสองเท่าของผลตอบแทนดัชนีอ้างอิง (2*46% = 92%)

4. สิ่งที่ควรรู้ก่อนลงทุนและความเสี่ยง

ปัจจุบันมี L&I ETFs ที่อ้างอิง ดัชนี SET50 ได้แก่:

  1. 2X01BSET50: กองทุนเปิด BCAP SET50 Daily Leveraged ETF (2X) กองทุน Leveraged ETF ที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้เป็น 2 เท่าของผลตอบแทนรายวันของดัชนี SET50 Total Return Index
  2. 1I01BSET50: กองทุนเปิด BCAP SET50 Daily Inverse ETF (-1X) กองทุน Inverse ETF ที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้เป็น -1 เท่าของผลตอบแทนรายวันของดัชนี SET50 Total Return Index
  3. 2I01BSET50: กองทุนเปิด BCAP SET50 Daily Inverse ETF (-2X) กองทุน Inverse ETF ที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้เป็น -2 เท่าของผลตอบแทนรายวันของดัชนี SET50 Total Return Index

ทั้งหมดนี้ซื้อขายได้ง่าย ๆ ผ่านบัญชีหุ้นปกติ ไม่ต้องเปิดบัญชี TFEX ไม่ต้องวาง Margin และไม่ต้องกังวลวันหมดอายุ แต่ก็ยังมีสิ่งที่นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนเริ่มลงทุน:

สิ่งที่ควรรู้

  • เป็นเครื่องมือสำหรับ การลงทุนระยะสั้น
  • เหมาะกับผู้ที่ติดตามตลาดและสถานการณ์ลงทุนของตัวเองทุกวัน
  • ควรมีความรู้และความเข้าใจของผลิตภัณฑ์ กลไกการสร้างผลตอบแทน และความเสี่ยง

⚠️ ความเสี่ยงที่ต้องระวัง

  • Tracking Error Risk: ความเสี่ยงจากการคลาดเคลื่อนของผลตอบแทนจากดัชนีอ้างอิงที่ใช้เปรียบเทียบ
  • Market Risk: ผลกระทบจากภาวะตลาดที่อาจทำให้มูลค่ากองทุนเปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด เนื่องจาก L&I ETFs มีความผันผวนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง
  • Liquidity Risk: ความเสี่ยงจากการที่ไม่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ในราคาที่ต้องการ
  • Counterparty Risk: ความเสี่ยงที่เกิดจากคู่สัญญาไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้
  • Compounding Effect Risk: ความเสี่ยงจากผลของการทบต้นในระยะยาวที่อาจทำให้ผลตอบแทนแตกต่างจากที่คาดไว้
  • Long-Term Holding Risk: ความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสมในการถือครองกองทุน L&I ในระยะยาว เนื่องจาก L&I ETFs มีการคำนวณมูลค่าของผลิตภัณฑ์เป็นรายวัน (Daily reset) และมีการคำนวณผลตอบแทนแบบทบต้น (Compounding Effect) ซึ่งอาจทำให้การถือครองเกินกว่า 1 วันอาจทำให้ผลตอบแทนเบี่ยงเบนจากดัชนีอ้างอิง และอาจเกิดการขาดทุนโดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีความผันผวน
  • Leveraged & Inverse Risk: ความเสี่ยงเฉพาะที่เกิดจากการใช้กลยุทธ์เลเวอเรจและย้อนกลับในกองทุน L&I ETFs
  • ต้นทุนและค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม: L&I ETFs ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งอาจมีต้นทุนเพิ่มเติม เช่น ค่าใช้จ่ายในการทาธุรกรรม และค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

⚠️ กลต.ยังได้มีข้อกำหนดป้องกันความเสี่ยง เช่น นักลงทุนต้อง ยืนยันการรับรู้ความเสี่ยง (Acknowledgement) ก่อนซื้อขาย และหากถือครองเกิน 1 เดือน บริษัทหลักทรัพย์จะมีการแจ้งเตือนผู้ลงทุน

————————————————————-

คำเตือน: 

L&I ETFs ออกแบบเพื่อการลงทุนระยะสั้น มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นสัดส่วนกับดัชนีอ้างอิงเป็นรายวัน (Daily Reset) และคำนวณผลตอบแทนแบบทบต้น (Compounding Effect) ซึ่งทำให้การถือครองเกินกว่า 1 วัน อาจให้ผลตอบแทนเบี่ยงเบนจากสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของดัชนีที่มุ่งหวัง โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดผันผวน นอกจากนี้ การจัดการกองทุนมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงอาจทำให้ผลตอบแทนของกองทุนแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงของดัชนี

ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาว (buy & hold) หรือไม่สามารถติดตามการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และรับหนังสือชี้ชวนได้ที่เว็บไซต์ของบริษัท